จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

โปรดสัตว์ได้บาป ตอนที่ 1

          เมื่อพูดถึงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์หรือการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่พูดกันติดปากว่า Ecotourism สถานที่แรกๆ ที่เรามักคิดถึงกันก็คือ อุทยานแห่งชาติ  และกิจกรรมท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติ ถ้าเป็นพวก เขา ดอย ภู เชียง ก็จะเป็นการเดินป่า พักแคมป์  เล่นน้ำตก ส่องสัตว์ ดูนก ฯลฯ  แต่ถ้าเป็น หาดและหมู่เกาะ ก็หนีไม่พ้นการเล่นน้ำ ดำน้ำทั้งตื้นและลึก พายเรือแคนู-คะยัค ฯลฯ   


สภาพป่าเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ป่าน
อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
 ซึ่งแน่นอนว่าด้วยสภาพพื้นที่และกิจกรรมท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นย่อมเกี่ยวพันและมีโอกาสสัมผัสกับสัตว์ป่าในสถานที่นั้นไม่มากก็น้อย  แต่เราเคยรู้หรือไม่ว่าที่ผ่านมา พฤติกรรมท่องเที่ยวหรือสิ่งที่เราเข้าไปกระทำในพื้นที่ป่าทั้งบกและน้ำ  ซึ่งเป็นเสมือน บ้านของสัตว์ป่า ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อสภาพความเป็นอยู่ของชีวิตพืชและสัตว์เหล่านั้นที่เรียกว่า ระบบนิเวศ หรือไม่และมากน้อยเพียงใด

กิจกรรมดำน้ำลึก
อุทยานแห่งชาติสิมิลัน






      หากในความเป็นจริงแล้ว เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมหรือคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านของเรา ไม่ว่าดีหรือร้ายก็ย่อมส่งผลกระทบต่อ ผู้เป็นเจ้าของบ้าน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ฉันใด   การที่เราเข้าไปเที่ยวในป่า พืชและสัตว์ป่าก็ย่อมสำเหนียกถึงความแตกต่างกับสิ่งที่เกิดขึ้นใน บ้าน ของมันเช่นกัน  แต่ด้วยรูปแบบการเสพสุขด้วยการท่องเที่ยวของมนุษย์เราที่รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ธรรมชาติ ย่อมหลีกเลี่ยงการก่อผลกระทบต่อทุกชีวิตในธรรมชาติไม่พ้น  แม้เราจะพยายามหาวิธีที่จะรบกวน เจ้าบ้านตัวจริง” ให้น้อยที่สุด ด้วยการตั้งกฎเกณฑ์การปฏิบัติตนไปจนถึงระเบียบข้อบังคับในการเข้าไปเยี่ยมเยียนและศึกษาธรรมชาติ (ซึ่งก็คือไปเที่ยวนั่นแหละ) ขึ้น  ถึงกระนั้นก็ยังมีพฤติกรรมท่องเที่ยวอีกหลายอย่างที่ แขกผู้มาเยือน มักจะ ทำร้าย เจ้าของบ้านอย่างคาดไม่ถึง


           การให้อาหารสัตว์ พฤติกรรมปรกติที่เกิดขึ้นเมื่อเราพบเห็นสิ่งมีชีวิตที่กระทบความรู้สึกส่วนของความรัก ความเอ็นดู เวทนาสงสาร ทำให้เกิดความเมตตาตามประสาคนทั่วไป โดยลืมไปว่าเรากำลังมาเที่ยวป่า เค้าเป็นสัตว์ป่า การดำรงชีวิตในป่าคือวิถีตามธรรมชาติของเค้า  การให้อาหารกวางที่ภูกระดึง  ให้อาหารลิงบนถนนเส้นทางขึ้นเขาใหญ่  รวมถึงการโปรยขนมปังให้ปลาเวลาไปดำน้ำตามอุทยานแห่งชาติทางทะเล  เป็นภาพที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด  เราอาจทำเพราะคุ้นชินกับการให้อาหารปลาและขนมปังกับปลาต่างๆ ในเขตอภัยทานตามวัด  อ้าว...แล้วมันเป็นปัญหาตรงไหนเหรอกับการให้อาหารปลาที่น่ารัก หรือให้อาหารลิงที่น่าสงสารพวกนั้น  ผลพวงที่ตามมาจาก ความเมตตา ของเราอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่เห็นได้ชัดก็คือ  สัตว์ป่าเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ทำให้สมดุลในระบบนิเวศที่เรียกว่า ห่วงโซ่อาหารผิดเพี้ยนไป   สัตว์ป่าทำร้ายคนเมื่อไม่ได้รับอาหาร (อย่าลืมว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะให้อาหารสัตว์)  เกิดอันตรายต่อสัตว์ป่าจากขยะแปลกปลอมที่ทิ้งเรี่ยราดไว้ และสัตว์กินเข้าไปด้วยความเข้าใจผิด  หรืออันตรายจากพาหนะเพราะรุกล้ำขึ้นมาขวางเส้นทางด้วยความไม่รู้  อีกทั้งยังสร้างมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศอีกด้วย


ภาพจาก www. v4nature.org
การให้อาหารทำให้สัตว์ไม่หากินเอง รอคอยแต่คนมาให้อาหาร  บรรยากาศริมทะเลน้ำใส  แล้วมีปลาสลิดหินลายเสือ(ซึ่งก็คือสัตว์ป่าใต้ทะเล)หลายสิบตัวรายล้อมนักท่องเที่ยวที่กำลังโปรยขนมปังให้คงเป็นภาพสวยงามที่เรามักพบเห็นตามสื่อ  แต่หากเปลี่ยนเป็นปลาพลวงตัวโตในน้ำตก เมื่อคนอื่นที่ไม่ได้ให้อาหารกำลังลงเล่นน้ำแล้วเกิดปรากฏการณ์ปลาตัวโตเท่าแขนพากันกรูเข้าหาเป็นร้อยๆ ตัว ลองนึกภาพดู  นอกจากนี้ เศษอาหารที่เหลือยังส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อมของน้ำทั้งคุณภาพและความสะอาด  ในเชิงระบบนิเวศการให้อาหารปลายังทำให้ปลาบางชนิดที่ปกติกินสาหร่ายที่ขึ้นปกคลุมปะการังเป็นอาหาร เปลี่ยนพฤติกรรมไม่หาสาหร่ายกินเอง และผลจะยิ่งรุนแรงเห็นได้ชัดในภาวะวิกฤติปะการังฟอกขาว ที่ปะการังจะอ่อนแอลงและสาหร่ายจะรุกขึ้นปกคลุมปะการัง หากไม่มีปลามาควบคุมปริมาณ โอกาสที่ปะการังจะฟื้นก็หมดไป  หรือเต่าทะเลลอยตายเพราะกินถุงพลาสติกเข้าไปด้วยความเข้าใจว่าเป็นแมงกะพรุนก็น่าจะเคยได้ยินกันมาบ้าง


ภาพจาก www.diaryclub.com/blog
ภาพจาก www.oknation.net/blog/print.php?id=2286

          ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นกรณีลิงที่เขาใหญ่  ระหว่างทางขับรถขึ้นเขาใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวเห็นฝูงลิงนั่งเล่น เดินวนเวียนไปมาอยู่ริมถนน ทำกิริยา(ที่คนคิดเองว่า)น่าเอ็นดู ลิงแม่ลูกอ่อนมีลูกซุกอยู่ในอก  โถ!น่าสงสาร จะมีอะไรกินมั้ย ว่าแล้วก็จอดรถยื่นถุงขนมขบเคี้ยวให้กับลิง หลายคนหลายคันก็ทำตามกันด้วยความเวทนา  นานเข้าลิงเริ่มเรียนรู้ว่าอยู่ตรงนี้ ทำแบบนี้แล้วจะได้อะไร ไม่เข้าไปแล้วในป่า พากันมารอต้อนรับนักท่องเที่ยวกันเต็มสองข้างทางไปหมด  มากเข้าจนเริ่มล้นขึ้นมาบนถนน ลิงรู้แต่ว่าสิ่งที่มีล้อกลมวิ่งได้มาแล้วจะได้ของกิน แต่มันไม่รู้ว่ามันต้องหลบรถด้วย  แล้วก็มีอีกหลายคันที่ไม่จอดให้อาหาร เพราะมนุษย์มี ระดับความเข้าใจในเรื่องความเมตตา ต่างกัน ลิงมากขึ้นแต่คนให้อาหารน้อยกว่า  ลิงก็เริ่มเข้าหานักท่องเที่ยวเพื่อขออาหาร  แล้วพอไม่ได้รับก็ขโมยจากเต็นท์  แย่งจากมือแถมขู่หรือกัด เป็นที่มาของ “ลิงเขาใหญ่ถูกรถชนตาย  ลิงเขาใหญ่กัดนักท่องเที่ยว”  นี่ยังไม่ได้พูดถึงว่าแล้วถุงขนมขบเคี้ยว ซองพลาสติก ห่อลูกอมต่างๆ ที่ลิงกินแล้วทิ้งไว้แถวนั้นมันหายไปไหนนะครับ



ภาพจาก www.dorakon11.multiply.com       

กิจกรรมทำบุญปล่อยนกปล่อยปลาตามความเชื่อก็เป็นอีกพฤติกรรม ที่หากมีโอกาสจะมาแบ่งปันข้อมูลกันอีกถ้าไม่เบื่อเสียก่อน   สาวก Green Tourist  รับทราบข้อมูลแล้วคิดเราควรทำอย่างไรกันดี  เที่ยวป่าหรือทะเลครั้งต่อไป เราน่าจะลองช่วยกันดูช่วยกันเตือน(ถ้าทำได้) อย่าให้เกิดพฤติกรรมเหล่านี้ขึ้นอีกเลยครับ  เพราะความเวทนาสงสารของมนุษย์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวแท้ๆ.......เลยกลายเป็นการ โปรดสัตว์แต่ได้บาป



.....สัตตนุรักษ์

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Environovation : Green together….Go forever

ท่ามกลางกระแส ลดโลกร้อน ที่ปัจจุบันกำลังร้อนแรงขึ้นทุกขณะ ใครที่ไม่ต้องการเป็นคนตก Trend ต่างก็ปรับรูปแบบการใช้ชีวิตเพื่อต้องการมีส่วนร่วมในการรักษ์โลกใบนี้  ทั้งการกิน เดินทาง ทำงาน หรือแม้แต่ท่องเที่ยว โดยเฉพาะการบริโภคสินค้า ที่นอกจากสินค้าประเภทที่สนองตอบต่อความอยากที่เกินจำเป็นแต่มีผลต่อความรู้สึกหรืออารมณ์ ที่แข่งขันกันโดยใช้แนวคิด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน มาเป็นจุดขายกันอย่างได้ผลแล้ว  สินค้าในชีวิตประจำวันที่เราซื้อหากันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันด้วยความคุ้นเคยตามปกติ เดี๋ยวนี้หลายประเภทก็ใช้แนวคิดการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยลดโลกร้อนด้วยเหมือนกัน



  รูปแบบแนวคิดของผลิตภัณฑ์เพื่อลดโลกร้อน  มีตั้งแต่การพัฒนาวัตถุดิบหรือองค์ประกอบสินค้าที่หันมาใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติแทนสารเคมีเพื่อลดการสร้างมลพิษหรือขยะตกค้างในธรรมชาติ โดยยังคงคุณภาพและประสิทธิภาพของสินค้า เช่น สินค้าประเภทเกษตรอินทรีย์  ผลิตภัณฑ์ชำระล้างทำความสะอาดร่างกายที่สามารถย่อยสลายได้โดยกระบวนการธรรมชาติ(Biodegradable) ปลอดภัยทั้งต่อสุขภาพของผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม  การใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นหรือในประเทศ เพื่อลดการใช้พลังงานและค่าใช้จ่ายในการขนส่งและนำเข้า  การรับคืนสินค้าที่ผ่านการใช้งานแล้วกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตใหม่เพื่อลดปริมาณวัตถุดิบ เช่น กระดาษ   จนถึงการพัฒนาหีบห่อหรือบรรจุภัณฑ์ให้มีรูปแบบและขนาดที่เหมาะสมต่อการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่ามากขึ้น  ทำให้ลดปริมาณการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่สิ้นเปลือง  ลดพื้นที่และน้ำหนักในการบรรทุกเพื่อขนส่งต่อเที่ยวที่มีผลต่อค่าใช้จ่ายและการใช้พลังงาน  อีกทั้งสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำในลักษณะการ Refill  หรือหมุนเวียนคืนสู่กระบวนการผลิตเพื่อลดการใช้วัตถุดิบตั้งต้นจากธรรมชาติ  แม้กระทั่งใช้เป็นวัตถุดิบในการแปรสภาพให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่  เช่น หลังคา ผลิตภัณฑ์บุผนัง  โต๊ะ/เก้าอี้จากกล่องนม  

 นอกจากนี้ แนวคิดการพัฒนาดังกล่าวยังทำให้เกิดผลิตภัณฑ์สีเขียวใหม่ๆ ขึ้น  หลายผลิตภัณฑ์มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น แต่ก่อมลภาวะหรือทิ้งเป็นขยะเมื่อหมดอายุการใช้งานที่น้อยลง เช่น หลอดไฟฟ้า LED  เครื่องชาร์ทพลังงานสำหรับถ่านอัลคาไลน์ทั่วไป  หรือนวัตกรรมการนำพลังงานจากธรรมชาติมาใช้ประโยชน์  อาทิ นาฬิกาปลุกพลังน้ำ  ผลิตภัณฑ์หลายสิ่งที่ดูคุ้นตาแต่ทำมาจากสิ่งที่เราเคยคิดว่ามันเป็นขยะ เป็นต้น  สิ่งเหล่านี้เป็นการนับหนึ่งทางความคิดสร้างสรรค์ที่ให้ความสำคัญกับการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็น นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ Environovation” ก็ว่าได้

ปัจจุบันเริ่มมีผู้ประกอบการที่ใส่ใจและตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง หันมาประกอบการด้วยการสนับสนุนผลิตภัณฑ์เหล่านี้เพื่อตอบสนองต่อนักท่องเที่ยวสีเขียวที่เป็นกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม รีสอร์ต ร้านอาหาร สถานบริการสุขภาพ จนถึงร้านค้าของที่ระลึก  บางแห่งสร้างมูลค่าจากขยะด้วยการผลิตสินค้าจากวัสดุ Recycle   ร้านอาหารบางร้านใช้เฉพาะวัตถุดิบที่เป็นเกษตรอินทรีย์หรือปลอดสาร  บางแห่งรับคืนซากสินค้าเพื่อนำกลับไปผลิตใหม่  บางแห่งเน้นการผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติและปลอดสารเคมี  สถานประกอบการบางแห่งเน้นการใช้พลังงานจากธรรมชาติและรักษาพื้นที่สีเขียว ขณะที่อีกหลายๆ แห่งพยายามฟื้นฟูเพื่อตอบแทนให้กับธรรมชาติ   แล้วเหล่า Green Tourist อย่างเราจะสามารถมองหาและใช้บริการ Product พิทักษ์โลก ได้อย่างไร  ง่ายที่สุดเริ่มจากการท่องโลกเสมือนจริงในเครือข่ายอินเตอร์เนต ด้วยคำว่า สินค้าเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือไปที่ www.thaigreenmarket.com  หากยังนึกไม่ออกหรืออยากเห็นของจริง ลองเริ่มต้นเดินสำรวจดูตามแหล่งท่องเที่ยวหลักในกรุงเทพฯ  เช่น  ย่านสยามสแควร์  ถนนพระอาทิตย์  ย่านวังหลัง  หรือต่างจังหวัดก็ที่เชียงใหม่  น่าน  เกาะสมุย  นครราชสีมา อุดรธานี เป็นต้น    





จุดสังเกตของ Product พิทักษ์โลก ดูได้จากฉลากหรือสัญลักษณ์ที่ออกโดยหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ  ไม่ว่าจะเป็น ฉลากประหยัดพลังงาน ฉลากเขียว ฉลากคาร์บอน  ฉลากคาร์บอนฟรุตพริ้นต์ ฉลากรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ สัญลักษณ์ใบไม้เขียว และอื่นๆ  ในการช้อปปิ้งครั้งต่อไป สังเกตดูว่าของที่เราหยิบใส่ถุงผ้าที่หิ้วไปน่ะมีกี่ชิ้นที่ช่วยลดโลกร้อนบ้าง  ตัวเลือกมีให้แล้ว เพียงแค่เราใช้เวลาใส่ใจพิจารณาให้มากขึ้นเท่านั้น  ขอโอกาสให้กับสิ่งแวดล้อมที่เราอาศัยพักพิงมาตลอดชีวิตได้หายใจเต็มปอดบ้างเถอะ  Green together….Go forever


ก่อเกียรติ  ฉัตรศิริวรกุล

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Environovation : Green together….Go forever


ท่ามกลางกระแส ลดโลกร้อน ที่ปัจจุบันกำลังร้อนแรงขึ้นทุกขณะ ใครที่ไม่ต้องการเป็นคนตก Trend ต่างก็ปรับรูปแบบการใช้ชีวิตเพื่อต้องการมีส่วนร่วมในการรักษ์โลกใบนี้  ทั้งการกิน เดินทาง ทำงาน หรือแม้แต่ท่องเที่ยว โดยเฉพาะการบริโภคสินค้า ที่นอกจากสินค้าประเภทที่สนองตอบต่อความอยากที่เกินจำเป็นแต่มีผลต่อความรู้สึกหรืออารมณ์ ที่แข่งขันกันโดยใช้แนวคิด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน มาเป็นจุดขายกันอย่างได้ผลแล้ว  สินค้าในชีวิตประจำวันที่เราซื้อหากันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันด้วยความคุ้นเคยตามปกติ เดี๋ยวนี้หลายประเภทก็ใช้แนวคิดการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยลดโลกร้อนด้วยเหมือนกัน

  รูปแบบแนวคิดของผลิตภัณฑ์เพื่อลดโลกร้อน  มีตั้งแต่การพัฒนาวัตถุดิบหรือองค์ประกอบสินค้าที่หันมาใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติแทนสารเคมีเพื่อลดการสร้างมลพิษหรือขยะตกค้างในธรรมชาติ โดยยังคงคุณภาพและประสิทธิภาพของสินค้า เช่น สินค้าประเภทเกษตรอินทรีย์  ผลิตภัณฑ์ชำระล้างทำความสะอาดร่างกายที่สามารถย่อยสลายได้โดยกระบวนการธรรมชาติ(Biodegradable) ปลอดภัยทั้งต่อสุขภาพของผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม  การใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นหรือในประเทศ เพื่อลดการใช้พลังงานและค่าใช้จ่ายในการขนส่งและนำเข้า  การรับคืนสินค้าที่ผ่านการใช้งานแล้วกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตใหม่เพื่อลดปริมาณวัตถุดิบ เช่น กระดาษ   จนถึงการพัฒนาหีบห่อหรือบรรจุภัณฑ์ให้มีรูปแบบและขนาดที่เหมาะสมต่อการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่ามากขึ้น  ทำให้ลดปริมาณการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่สิ้นเปลือง  ลดพื้นที่และน้ำหนักในการบรรทุกเพื่อขนส่งต่อเที่ยวที่มีผลต่อค่าใช้จ่ายและการใช้พลังงาน  อีกทั้งสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำในลักษณะการ Refill  หรือหมุนเวียนคืนสู่กระบวนการผลิตเพื่อลดการใช้วัตถุดิบตั้งต้นจากธรรมชาติ  แม้กระทั่งใช้เป็นวัตถุดิบในการแปรสภาพให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่  เช่น หลังคา ผลิตภัณฑ์บุผนัง  โต๊ะ/เก้าอี้จากกล่องนม  

นอกจากนี้ แนวคิดการพัฒนาดังกล่าวยังทำให้เกิดผลิตภัณฑ์สีเขียวใหม่ๆ ขึ้น  หลายผลิตภัณฑ์มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น แต่ก่อมลภาวะหรือทิ้งเป็นขยะเมื่อหมดอายุการใช้งานที่น้อยลง เช่น หลอดไฟฟ้า LED  เครื่องชาร์ทพลังงานสำหรับถ่านอัลคาไลน์ทั่วไป  หรือนวัตกรรมการนำพลังงานจากธรรมชาติมาใช้ประโยชน์  อาทิ นาฬิกาปลุกพลังน้ำ  ผลิตภัณฑ์หลายสิ่งที่ดูคุ้นตาแต่ทำมาจากสิ่งที่เราเคยคิดว่ามันเป็นขยะ เป็นต้น  สิ่งเหล่านี้เป็นการนับหนึ่งทางความคิดสร้างสรรค์ที่ให้ความสำคัญกับการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็น นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ Environovation” ก็ว่าได้

ปัจจุบันเริ่มมีผู้ประกอบการที่ใส่ใจและตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง หันมาประกอบการด้วยการสนับสนุนผลิตภัณฑ์เหล่านี้เพื่อตอบสนองต่อนักท่องเที่ยวสีเขียวที่เป็นกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม รีสอร์ต ร้านอาหาร สถานบริการสุขภาพ จนถึงร้านค้าของที่ระลึก  บางแห่งสร้างมูลค่าจากขยะด้วยการผลิตสินค้าจากวัสดุ Recycle   ร้านอาหารบางร้านใช้เฉพาะวัตถุดิบที่เป็นเกษตรอินทรีย์หรือปลอดสาร  บางแห่งรับคืนซากสินค้าเพื่อนำกลับไปผลิตใหม่  บางแห่งเน้นการผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติและปลอดสารเคมี  สถานประกอบการบางแห่งเน้นการใช้พลังงานจากธรรมชาติและรักษาพื้นที่สีเขียว ขณะที่อีกหลายๆ แห่งพยายามฟื้นฟูเพื่อตอบแทนให้กับธรรมชาติ   แล้วเหล่า Green Tourist อย่างเราจะสามารถมองหาและใช้บริการ Product พิทักษ์โลก ได้อย่างไร  ง่ายที่สุดเริ่มจากการท่องโลกเสมือนจริงในเครือข่ายอินเตอร์เนต ด้วยคำว่า สินค้าเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือไปที่ www.thaigreenmarket.com  หากยังนึกไม่ออกหรืออยากเห็นของจริง ลองเริ่มต้นเดินสำรวจดูตามแหล่งท่องเที่ยวหลักในกรุงเทพฯ  เช่น  ย่านสยามสแควร์  ถนนพระอาทิตย์  ย่านวังหลัง  หรือต่างจังหวัดก็ที่เชียงใหม่  น่าน  เกาะสมุย  นครราชสีมา อุดรธานี เป็นต้น    

จุดสังเกตของ Product พิทักษ์โลก ดูได้จากฉลากหรือสัญลักษณ์ที่ออกโดยหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ  ไม่ว่าจะเป็น ฉลากประหยัดพลังงาน ฉลากเขียว ฉลากคาร์บอน  ฉลากคาร์บอนฟรุตพริ้นต์ ฉลากรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ สัญลักษณ์ใบไม้เขียว และอื่นๆ  ในการช้อปปิ้งครั้งต่อไป สังเกตดูว่าของที่เราหยิบใส่ถุงผ้าที่หิ้วไปน่ะมีกี่ชิ้นที่ช่วยลดโลกร้อนบ้าง  ตัวเลือกมีให้แล้ว เพียงแค่เราใช้เวลาใส่ใจพิจารณาให้มากขึ้นเท่านั้น  ขอโอกาสให้กับสิ่งแวดล้อมที่เราอาศัยพักพิงมาตลอดชีวิตได้หายใจเต็มปอดบ้างเถอะ  Green together….Go forever


ก่อเกียรติ  ฉัตรศิริวรกุล

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เทศกาลเที่ยวหัวใจใหม่(ยังไง) เมืองไทยยั่งยืน(จริงๆ)

            ต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาหลังวันสิ่งแวดล้อมโลกแค่ไม่กี่วัน ททท. หรือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้จัดงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทยขึ้นที่เมืองทองธานี เหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา  โดยปีนี้มาพร้อมกับแคมเปญใหม่ล่าสุด เที่ยวหัวใจใหม่ เมืองไทยยั่งยืน  เราได้มีโอกาสไปเที่ยวชมงานก็วันสุดท้ายของงานพอดี ซึ่งก็เผอิญตรงกับการจัดเสวนาท่v'เที่ยวหัวข้อ ทดเวลาบาดเจ็บ.... อะไรประมาณนี้  เลยถือโอกาสฟังเสวนาก่อนไปเดินเที่ยวในงาน

            รูปแบบการจัดงานปีนี้ถือว่าอลังการ เส้นทางชัดเจนกว้างขวางน่าเดินเที่ยวมาก มีการแบ่งโซนชัดเจน ที่น่าตื่นตาในวิธีการนำเสนอคือโซน เที่ยวหัวใจใหม่ เมืองไทยยั่งยืน ที่ใช้กล่องกระดาษมาทำเป็นแนวขอบเขตพื้นที่ พร้อมทั้งเสริมด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ  อีกโซนที่น่าสนใจคือโซน “7 Greens”  ซึ่ง ททท. นำเสนออย่างต่อเนื่องอยู่แล้วทุกปี แต่ปีนี้รู้สึกพื้นที่จะกว้างขวางขึ้น  เมื่อดูจากทั้งสองโซนแล้ว แสดงว่า Theme ของงานปีนี้น่าจะเน้นเรื่องการอนุรักษ์มากขึ้น  ส่วนโซนอื่นๆ ก็เป็นปกติเหมือนทุกปีคือ โซนการสาธิตของแต่ละภูมิภาค โซนผู้ประกอบการท่องเที่ยว โซนสินค้าหัตถกรรม โซนอาหาร และเวทีการแสดงที่เน้นบรรยากาศงานวัดที่ดูสนุกสนานครึกครื้น 


            พอเดินเที่ยวในงานได้ซักพัก เราเริ่มรู้สึกว่ามันมีอะไรที่ขัดแย้งกันชอบกล  ถ้า Theme ของงานเน้นการอนุรักษ์ ทำไมวัสดุที่ใช้ตกแต่งในงาน ภาชนะใส่อาหารและเครื่องดื่มในงานถึงมีแต่โฟมและพลาสติกเต็มไปหมด ประเมินด้วยสายตาร้านค้าในงานน่าจะไม่ต่ำกว่า 200 ร้าน ถ้าร้านหนึ่งใช้โฟมหรือพลาสติกวันละ 500 ชิ้น เป็นอย่างต่ำ วันเสาร์-อาทิตย์น่าจะมากกว่านั้นเป็นเท่าตัว งานมี 5 วัน เราไม่กล้านึกภาพของภาชนะที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งเหล่านี้เลย  เอ๊ะ...หรือเราเข้าใจอะไรผิดไปเอง Theme ทั้งงานไม่ได้เน้นการอนุรักษ์ แต่เน้นเฉพาะบางโซน  แต่ในโซนอนุรักษ์ก็มีโฟมนี่นา  หรือเจ้าของงานสับสนเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ! นอกจากนี้ เรายังพบว่ามีการขายสินค้าเครื่องประดับที่ทำจากกระดูกและงาช้างอีกด้วย  ที่ยังงงๆ และไม่แน่ใจมาจนถึงตอนนี้คือ ในงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทยมีสินค้าประเภทเสื้อผ้ามือสอง เสื้อกันหนาว เสื้อผ้าจากโรงงาน  แว่นตาแฟชั่น และอื่นๆ ที่เรารู้สึกว่าไม่น่าจะเข้าพวกในโซนสินค้าหัตถกรรมของที่ระลึกด้วยหรือ  เด็ดสุดคือ เราอยากรู้จังว่าไอ้เจ้า ONAMI เนี่ย มันเป็นสินค้า OTOP จากที่ไหน ? ใครรู้ช่วยตอบที

            ในขณะที่เดินไปมึนไป มีแต่คำถามในหัวว่า ทำไม ๆ ๆ อยู่ตลอดเวลา  ในที่สุดเราก็ยังอุตส่าห์เจอบางคนที่มาร่วมในงานที่ขอใช้คำว่ามี แสงสว่างแห่งปัญญา คือคิดขึ้นได้เอง  เป็นเจ้าของร้านอาหาร ป้อม ข้าวพันผัก จากอุตรดิตถ์ คนหนุ่มไฟแรง มาร่วมในงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทยตลอดทุกปี  มีแนวคิดชัดเจนในการร่วมลดโลกร้อนด้วยการไม่ใช้ภาชนะที่ทำจากโฟม  หันมาใช้ ไบโอโฟม ซึ่งราคาสูงกว่าโฟมทั่วไปหลายเท่าแทน และมุ่งมั่นทำมาปีนี้เป็นปีที่ 3 แล้ว ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าปีนี้จะคุ้มทุนหรือไม่เนื่องจากทางเจ้าของงานจัดเก็บค่าที่ ต่างจากทุกปีที่ไม่เคยเก็บ แต่ก็ยืนยันเจตนารมณ์ว่าจะขอร่วมรักษ์โลกต่อไป สู้ๆ ค่ะ  ที่จริงไม่เฉพาะร้านป้อม ข้าวพันผัก จากอุตรดิตถ์เท่านั้น  แต่ยังมีอีกหลายคนที่มี ใจ รักษ์โลก  อาจจะทั้งแบบตั้งใจหรือไม่ได้เจตนาก็ตาม ร่วมอยู่ในงานด้วย เพียงแต่ถ้ากวาดสายตาอย่างละเมียดหน่อย ก็จะพบว่าบางร้านพยายามใช้วัสดุธรรมชาติดั้งเดิมสมัยปู่ย่าตายายมาทำภาชนะใส่ขนม นั่นคือ ใบตอง หรือบางร้านก็ใช้ภาชนะเครื่องปั้นดินเผามาใส่ก๋วยเตี๋ยวซึ่งใช้ซ้ำได้  ขณะที่ร้านไอศกรีมก็ใช้กะลาแทนถ้วยพลาสติก (อันนี้ไอเดียดี แม้ว่าโดยส่วนตัวหน้าตาไม่ผ่านค่ะ!)


           จะว่าไปแล้ว ททท. ก็จัดงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทยโดยนำเสนอแนวคิดการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหรือการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนติดต่อกันมาหลายปี  เราเชื่อว่าวิธีทำตลาดแบบเขียวๆ ของบรรดาร้านค้าในงานก็น่าจะได้มาจากการตอกย้ำแนวคิดของ ททท. ด้วยล่ะน่า....เอ้า ปีหน้าค่อยว่ากัน  เที่ยวหัวใจใหม่ เมืองไทยยั่งยืน เย้



AGALIGO GREEN

Carbon Sink วัคซีนเยียวยาโลกร้อน

การปลูกป่าเพื่อช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นตัวก่อภาวะโลกร้อน เป็นกิจกรรมสุดฮิตที่ใครๆ ก็ทำได้ และทำกันมาอย่างต่อเนื่องหลายปีแล้ว ด้วยเพราะรู้ว่าป่าไม้เป็นแหล่งเก็บกักคาร์บอนชั้นดีที่เรียกว่า “Carbon Sink”  ที่มีมานานคู่กับโลกตั้งแต่มีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาเลยก็ว่าได้   แต่แหล่งเก็บกักหรือดูดซับก๊าซคาร์บอนใช่จะมีแต่ป่าไม้ที่เป็นป่าบกเท่านั้น  ที่จริงแล้วยังมีแหล่งที่เป็น Carbon Sink อยู่อีกมากมายหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นใต้ทะเล  แนวปะการัง หรือแม้กระทั่งป่าชายเลน 
ป่าชายเลน (Mangrove forest หรือ Intertidal forest)  เป็นสังคมพืชที่อาศัยอยู่ในเขตน้ำลงต่ำสุด และน้ำขึ้นสูงสุดบริเวณชายฝั่งทะเล ปากแม่น้ำ หรืออ่าว ตลอดจนเกาะแก่งต่างๆ ที่มีน้ำท่วมถึง   พื้นที่ป่าชายเลนของประเทศไทยใหญ่เป็นอันดับ 9 ของประเทศเขตร้อนในแถบเอเซีย เราเคยมีป่าชายเลนถึงเกือบ 2 ล้าน 3 แสนไร่ เมื่อ 40 ปีที่แล้ว  ด้วยปัญหาหลายประการที่คงไม่ต้องพูดกันตรงนี้  ปัจจุบันจึงเหลืออยู่ไม่เกิน 1 ล้าน 6 แสนไร่  กระจายตามแนวชายฝั่งกว่า 2,600 กิโลเมตร และเกาะต่างๆ ตั้งแต่ภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออกตลอดไปจนถึงภาคใต้ทั้งสองฝั่ง
เรารู้กันว่าป่าชายเลนมีประโยชน์มากมายนานัปการ  นอกจากจะเป็นพื้นที่ตัวแทนสำคัญของห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศทางทะเล  เพราะเป็นที่ชุมนุมของสรรพชีวิตทั้งพืชและสัตว์หลากหลายชนิดพันธุ์  ทำให้เป็นแหล่งผลิตอาหารโปรตีนที่สำคัญ เนื่องจากเป็นที่วางไข่ แหล่งอนุบาล แหล่งอาหาร และเจริญเติบโตของสัตว์น้ำเศรษฐกิจนานาชนิด ซึ่งในเชิงเศรษฐกิจระดับพื้นที่ถือว่ามีส่วนเพิ่มผลผลิตมวลชีวภาพแก่แหล่งประมงใกล้ชายฝั่งแล้ว   ป่าชายเลนยังให้ประโยชน์ทั้งด้านพลังงานและไม้ใช้สอย  เป็นเครื่องป้องกันแนวชายฝั่งทะเล  ลดกระแสน้ำเชี่ยวที่ปากแม่น้ำและพายุหมุน  ควบคุมการกัดเซาะพังทลาย ช่วยในการงอกเพิ่มของแผ่นดินสู่ทะเล  ช่วยซับน้ำเสียและดักตะกอนสิ่งปฏิกูล ตลอดจนสารพิษต่างๆ มิให้ไหลลงไปสะสมในทะเล   รวมทั้งช่วยควบคุมระดับอุณหภูมิและความเข้มข้นของน้ำทะเล  ที่สำคัญเป็นเกราะกำบังและลดความรุนแรงของคลื่นลมชายฝั่งและภัยธรรมชาติที่ปัจจุบันเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิบ่อยขึ้น 
โครงการ Carbon Sink ที่น่าสนใจโครงการหนึ่งคือ โครงการดูดซับและเก็บกักคาร์บอนเกาะกลาง (Carbon Capture and Storage Island) ณ เกาะกลาง ต.คลองประสงค์ อ.เมืองฯ จ.กระบี่   ถือเป็นพื้นที่นำร่องที่ริเริ่มโดยคณะกรรมการนักธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมไทย (TBCSD) สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) อัยลันดา อีโค่ วิลเลจ รีสอร์ท และภาคธุรกิจอื่นๆ รวมทั้งประชาชนในพื้นที่เกาะกลาง มีการร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือนำเกาะกลางสู่ Low Carbon Island  ที่เริ่มต้นด้วยการร่วมกันปลูกป่าชายเลนกว่า 600 ต้น ฟื้นฟูสภาพป่าให้เป็นเกาะที่สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นคุณประโยชน์ใหม่ที่วงการวิทยาศาสตร์มองเห็นและยอมรับว่า ป่าชายเลนเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนได้มากถึง 6,200 กิโลกรัม/ไร่/ปี หรือ 106 ล้านตันต่อปี  มากกว่าป่าบกที่เฉลี่ยแล้วดูดซับได้เพียงประมาณ 1,300 กิโลกรัม/ไร่/ปี หรือประมาณ 40 ล้านตัน/ปี  นอกจากนี้ ป่าชายเลนยังใช้เวลาเพียง 6-7 ปี ก็สามารถฟื้นฟูสภาพให้สมบูรณ์ได้ ต่างกับป่าบกที่ต้องใช้เวลาในการปลูกและฟื้นฟูนานกว่า 90-100 ปี จึงจะสมบูรณ์  พูดง่ายๆ คือ ป่าชายเลนเป็นแหล่ง Carbon Sink ที่เก็บกักได้เร็วกว่าและ มากกว่า ขณะเดียวกันก็ช่วยปลดปล่อยออกซิเจนคืนสู่สภาพแวดล้อมไปพร้อมกันด้วย

            รูปแบบโครงการ Low Carbon Island นี้จะเป็นลักษณะการสนับสนุนความรู้กับชาวบ้าน ดูความเหมาะสมของการปลูกป่าชายเลน  โดยชาวบ้านต้องเป็นผู้ลงมือทำ เพื่อให้เกิดการดูแลบริหารจัดการในระยะยาวอย่างยั่งยืน  ด้วยแนวคิดว่าธรรมชาติในพื้นที่สามารถดูดซับคาร์บอนได้จริง ช่วยลดโลกร้อนได้จริง  หากมีการดำเนินการที่ถูกต้อง  ซึ่งกลุ่มภาคีคาดหวังว่าเกาะกลางจะเป็นพื้นที่ตัวอย่างของเกาะคาร์บอนต่ำแห่งอื่นต่อไป   นั่นหมายความว่าหากโครงการนี้ดำเนินไปได้ด้วยดีตามที่ตั้งใจไว้  ก็อาจจะมีการขยายโครงการไปยังพื้นที่อื่นๆ อีก  
เราจึงได้แต่หวังว่า โครงการดีๆ อย่างนี้จะขยายผลไปยังแหล่งท่องเที่ยวตามเกาะแก่งหรือชายฝั่งต่างๆ เพื่อเป็นวัคซีนลดโลกร้อนและเยียวยาฟื้นฟูผลกระทบจากกิจกรรมท่องเที่ยว เราในฐานะ นักท่องเที่ยว หากมีโอกาสก็น่าจะช่วยกันคนละไม้ละมือ คนละต้นสองต้น ปลูกเสริมในแหล่งท่องเที่ยวที่มีคนคอยดูแลด้วยก็จะดี  หรือถ้าไม่ได้ไปไหน ต้นไม้รอบบ้านเราเนี่ยล่ะครับ หมั่นคอยดูแลรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ย ประโยชน์ที่ได้ไม่ใช่อื่นไกลก็ตัวเราและคนในบ้านนี่ไง  แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ลืมไม่ได้คือ หากเรายังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และขยันสร้างก๊าซคาร์บอนออกสู่ชั้นบรรยากาศกันอยู่อย่างนี้  ต่อให้ปลูกป่ามากมายอย่างไร ก็คงไม่สามารถแก้ไขปัญหาอย่างที่เราพบเจออยู่ในขณะนี้ได้  มีคำพูดของชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่งกล่าวไว้ว่า การจะใช้อะไรขอให้มีจิตสำนึกและวิจารณญาณพิจารณาว่า จะทำอย่างไรเพื่อให้ลูกหลานเราได้มีโอกาสรู้ โอกาสเห็น โอกาสได้กินได้ใช้ในอนาคต  ณ เวลานี้หากเป็นมวยก็ต้องบอกว่า เราหลังพิงเชือกแล้ว จะขอแค่เสมอหรือถูกน็อกไม่มีใครตอบได้นอกจากตัวเรา.......

ก่อเกียรติ  ฉัตรศิริวรกุล

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความจริงเกี่ยวกับ Sea Walker ในประเทศไทย

ภาพจาก www.dadabalitour.com

ภาพจาก www.allbalitour.com

ธุรกิจ Sea Walker หรือการเดินใต้ทะเล    เป็นกิจกรรมดูปะการังและสัตว์ใต้ทะเลโดยอาศัยอุปกรณ์ช่วยหายใจที่เรียกว่า  Air Surface Supply ในระดับความลึกประมาณ 5 เมตร มาประกอบการให้บริการนักท่องเที่ยวที่ต้องการประสบการณ์สัมผัสแนวปะการังด้วยสายตาอย่างใกล้ชิด   ถือเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวทางทะเลอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมานานหลายปี   ในต่างประเทศมีการเปิดให้บริการที่ประเทศออสเตรเลีย บริเวณหมู่เกาะ Great Barrier Reef   ส่วนแถบเอเชียคือที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย   เป็นที่นิยมชมชอบของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเอเซีย  ถึงขนาดมีการทำ Web Site เป็นภาษาญี่ปุ่นและจีน   ในประเทศไทยมีการให้บริการมากว่า 10 ปีแล้ว เท่าที่ทราบมี 2 แห่ง คือเกาะสาก จังหวัดชลบุรี  และเกาะเฮ จังหวัดภูเก็ต    
            แม้แต่ในประเทศที่ถูกมองว่าเป็นประเทศที่มีรูปแบบการท่องเที่ยวที่เน้นการอนุรักษ์อย่างออสเตรเลีย ก็ยังมีธุรกิจบริการท่องเที่ยวดังกล่าวในพื้นที่ที่ประกาศเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ    Sea Walker จึงถูกตั้งประเด็นว่าเป็นการท่องเที่ยวที่อนุรักษ์หรือทำลายสิ่งแวดล้อมกันแน่   โดยเฉพาะผลกระทบต่อระบบนิเวศแนวปะการังและสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในแนวปะการัง  ซึ่งหากเป็นกิจกรรมที่สร้างผลกระทบเชิงลบ  ที่ผ่านมาทำไมจึงยังไม่มีมาตรการใดๆ เกิดขึ้นกับกิจกรรมนี้  ทำไมยังปล่อยให้โฆษณาประชาสัมพันธ์ ขาย กิจกรรมดังกล่าวอยู่อย่างโจ่งแจ้ง   และทำไม สื่อ ที่เป็นรายการท่องเที่ยวจึงยังเผยแพร่กิจกรรม Sea Walker ในลักษณะแนะนำให้ไปเที่ยวได้อย่างสวนกระแส การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และใส่ใจสิ่งแวดล้อม ได้อย่างนี้
            สำหรับประเทศไทย  Sea Walker  กลายเป็นประเด็นหารือในวาระประชุมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมหลายต่อหลายครั้ง  สุดท้ายก็ได้บทสรุปว่ากิจกรรมดังกล่าวสามารถส่งผลกระทบต่อพื้นที่และระบบนิเวศแนวปะการังได้หากไม่มีมาตรการควบคุมที่จริงจัง   เนื่องจากพบว่ารูปแบบการประกอบกิจกรรม Sea Walker  มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อแนวปะการังได้มาก ทั้งจากการดัดแปลงทางเดินโดยการขุดย้ายปะการังออกจากที่อยู่เดิมเพื่อความสะดวกและปลอดภัยต่อนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง  หรือการสร้างแนวทางเดินที่ใกล้กับปะการังมากเกินไป ทำให้มีโอกาสเสี่ยงที่จะสัมผัสถูกปะการังมากขึ้น  อีกทั้งผลกระทบอื่นๆ ที่เกิดจากพฤติกรรมที่ไม่เข้าใจและขาดความระมัดระวัง  เช่น การฟุ้งกระจายของตะกอนทรายที่เกิดจากการเดิน  การขีดเขียนลงบนก้อนหิน/ปะการัง  การนำสัตว์ใต้ทะเลพวกหอยมือเสือ ดอกไม้ทะเล หอยเม่นจากที่แหล่งอยู่มาให้นักท่องเที่ยวชมและสัมผัสอย่างใกล้ชิด   เหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมและไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะเป็นการให้ความรู้ที่มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อเอาใจและพยายามสร้างความพอใจด้วยกิจกรรมที่คิดว่าน่าสนใจแก่นักท่องเที่ยว  กลายเป็นการเพาะบ่มพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องและสร้างความเข้าใจผิดๆ ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้อาหารปลา ที่นอกจากจะเป็นการสร้างมลพิษต่อน้ำทะเลแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อวงจรระบบนิเวศแนวปะการัง  เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสัตว์ ทำให้ปลาไม่ยอมหาอาหารกินเอง สูญเสียสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด  ที่ร้ายแรงที่สุดคือผู้ประกอบการบางรายมีการจับปลาใส่ถุงให้นักท่องเที่ยวนำกลับไปเป็นที่ระลึกอีกด้วย 
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงมีการออกประกาศกระทรวงฯ เรื่องการกำหนดพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่จังหวัดกระบี่ พ.ศ. 2553  ข้อ 11 (5)  ว่าด้วยการห้ามกระทำการหรือประกอบกิจกรรมการเดินท่องเที่ยวใต้ทะเล (Sea Walker) หรือการทอดสมอเรือในแนวปะการังขึ้นเพื่อป้องกันกิจกรรมที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบเกิดขึ้นกับพื้นที่จังหวัดกระบี่  สำหรับจังหวัดภูเก็ตและชลบุรีไม่แน่ใจว่าได้มีออกประกาศมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมแบบนี้หรือยัง  หากยังก็ควรรีบออกประกาศหรือหามาตรการควบคุมป้องกันมิให้กิจกรรมนี้รุกลามไปยังแนวปะการังในพื้นที่อื่นๆ 
นอกจากมาตรการข้างต้นแล้ว  การให้ความรู้ความเข้าใจและสร้างจิตสำนึกความหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่มีความสำคัญ เพราะความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติที่เหมาะสม  สื่อสารมวลชนรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะสื่อทางทีวีที่ถือว่ามีบทบาทสำคัญในปัจจุบัน   จึงควรมีการกลั่นกรอง สาระ หรือทำการบ้านให้ดีก่อนที่จะ สื่อ สู่สาธารณะ
อันที่จริง หากเปลี่ยนมุมมองว่าอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรม Sea Walker เป็นนวัตกรรมสำหรับการอยู่ใต้น้ำในระดับตื้น  ก็น่าจะลองคิดพัฒนาให้มีสมรรถนะที่ดีขึ้นสามารถนำไปใช้ในพื้นที่ที่ลึกมากขึ้น  แล้วนำไปประยุกต์ใช้สำหรับกิจกรรมหรือภารกิจใต้น้ำที่เหมาะสม เช่น การซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างใต้น้ำ  การสำรวจเรือจม หรือการสำรวจแหล่งโบราณคดีใต้น้ำ  มันน่าจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าหรือเปล่า.......


           

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หมีขั้วโลกสวนสัตว์เชียงใหม่ พลิกวิกฤติหรือฉวยโอกาส



คงไม่ช้าเกินไปที่จะกล่าวถึงกระแสเรื่องโครงการก่อสร้างอาคารจัดแสดงพันธุ์สัตว์ขั้วโลก (Polar World Chiang Mai Zoo) มูลค่า 71 ล้านบาทของสวนสัตว์เชียงใหม่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่  เป็นโครงการก่อสร้างที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้จัดแสดงหมีขาวและเพนกวินคิงที่กำลังมีแผนการเจรจาติดต่อกับสวนสัตว์จากประเทศแคนาดาและรัสเซีย  โดยชี้แจงวัตถุประสงค์โครงการว่าเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์และภูมิอากาศ รวมทั้งระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมของขั้วโลก ตลอดจนเป็นแหล่งศึกษาวิจัยอนุรักษ์พันธุ์หมีขั้วโลกและนกเพนกวินภายใต้พื้นที่โครงการเกือบ 3,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่เลี้ยงและจัดแสดงหมีขาว  ร้านจำหน่ายของที่ระลึก ห้องคอกกัก ห้องปฏิบัติการ ห้องเตรียมอาหาร และอาคารระบบยังชีพ โดยในส่วนพื้นที่จัดแสดงและที่อยู่ของสัตว์ขั้วโลกจะติดตั้งระบบปรับอากาศและจำลองบรรยากาศให้เหมือนขั้วโลกจริง  ซึ่งล่าสุดโครงการมีความคืบหน้าไปได้ประมาณ 30 เปอร์เซนต์
            คำถามที่เป็นข้อกังขาจากหลายฝ่ายในขณะนี้ คือ โครงการนี้มีความเหมาะสมหรือไม่กับการนำเอาหมีขาวที่มีชีวิตอยู่ตามธรรมชาติในเขตขั้วโลกเหนือมากักขังอยู่ในพื้นที่อากาศร้อนแถบเส้นศูนย์สูตร แล้วอ้างเหตุผลว่าเป็นเรื่องของการศึกษาวิจัย  เพราะถ้าพิจารณาวัตถุประสงค์ที่กล่าวอ้างกับรูปแบบการดำเนินการและขนาดของพื้นที่โครงการแล้วดูไม่สมเหตุสมผลอะไรเลย
หมีขั้วโลกเป็นสัตว์ผู้ล่าบนบกขนาดใหญ่ที่สุดในโลก หากินอยู่แถบขั้วโลกเหนือซึ่งเป็นเขตหนาวจัดตั้งแต่อลาสก้าไปจนถึงรัสเซีย ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 40,000 ตัว สถานภาพใกล้สูญพันธุ์ มีขอบเขตพื้นที่หากิน (boundary) หลายตารางกิโลเมตร การเอาหมีขั้วโลกมาอยู่บนพื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรในสภาพอากาศเขตร้อน โดยบอกว่าเป็นการศึกษาวิจัยจึงไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ดระบุว่า หมีขั้วโลกเป็นสัตว์กินเนื้อที่ใช้ชีวิตด้วยการเดินทางล่าแมวน้ำเป็นอาหาร  ตลอดชีวิตของมันใช้พื้นที่หากินถึง 260,000 ตารางกิโลเมตร  การนำมาเลี้ยงในกรงจะยิ่งสร้างความเครียดให้กับหมีขั้วโลก ทำให้เกิดอาการซึมเศร้า มีพฤติกรรมซ้ำซาก สวนสัตว์หลายแห่งในประเทศเยอรมนี อังกฤษ สวิสเซอร์แลนด์ที่ไม่มีปัญหาเรื่องสภาพอากาศร้อนแบบบ้านเรา อีกทั้งมีการจำลองบรรยากาศแบบขั้วโลกเหนือ ท้ายที่สุดก็ได้เรียนรู้และมีบทเรียนจากธุรกิจนี้ว่าเป็นการทรมานสัตว์ชนิดนี้เพียงใด จึงมีนโยบายค่อย ๆ ทยอยเลิกการเลี้ยงหรือจัดแสดงหมีขั้วโลกในสวนสัตว์แล้ว ขณะที่สวนสัตว์สิงคโปร์ที่มีการจัดแสดงหมีขั้วโลกก็มีการพิสูจน์แล้วว่า หมีเหล่านั้นมีอาการเครียด ทรมานจากอากาศร้อนและถูกกักขังในที่คับแคบ บางตัวติดเชื้อที่ปอดจนตาย บางตัวเป็นโรคเชื้อรา ล่าสุดคนุต ลูกหมีขั้วโลกขวัญใจคนเยอรมันในสวนสัตว์กรุงเบอร์ลิน หมีแสนน่ารักที่โด่งดังไปทั่วโลกได้เสียชีวิตลงอย่างกระทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา  สิ่งเหล่านี้ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าการเอาหมีขั้วโลกมาจำกัดสถานที่นั้นคงไม่ใช่แนวทางการอนุรักษ์สัตว์หายากชนิดนี้อย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องการปรับสภาพพื้นที่เพื่อให้หมีขั้วโลกอาศัยอยู่ได้ในที่แคบๆ  ก็ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อให้ระบบปรับอากาศทำงานตลอดเวลา  ซึ่งก็หมายถึงการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองและปลดปล่อยความร้อนออกมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเป็นการเพิ่มภาวะโลกร้อนมากขึ้น หากบอกว่าจะศึกษาเรื่องการปรับตัวของหมีขั้วโลกในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปจากภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นปัญหาที่คุกคามหมีขั้วโลกอยู่ในขณะนี้ เพราะพื้นที่ในการดำรงอยู่และอาหารของหมีลดน้อยลง การนำหมีออกจากพื้นที่ธรรมชาติมาเลี้ยงในพื้นที่จำกัดและสภาพแวดล้อมที่ต่างกันสุดขั้วจึงไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง  เพราะนอกจากจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาของหมีได้แล้ว ยังเป็นการ ซ้ำเติมปัญหาภาวะโลกร้อน มากขึ้นอีกด้วย
ถ้าเหตุผลของโครงการคือการศึกษาวิจัยชีวิต ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมของหมีขั้วโลกซึ่งมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ด้วยวิธีการนำมันมากักขังในพื้นที่แคบๆ แม้จะบอกว่ามีการจำลองสภาพพื้นที่และสภาพภูมิอากาศให้คล้ายกับสภาพแวดล้อมเดิม  แต่ขนาดพื้นที่ก็ผิดกันลิบลับ  หมีขาวที่เป็นสัตว์ผู้ล่าสูงสุดในห่วงโซ่อาหาร เคยแต่ล่าแมวน้ำตามธรรมชาติ แต่ต้องมารับการให้อาหารเหมือนสัตว์เลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่มีผู้คนมาห้อมล้อมมุงดูเป็นร้อยๆ คนในแต่ละวัน  แล้วจะศึกษาถึง ระบบนิเวศและการใช้ชีวิตของหมีตามธรรมชาติ ได้อย่างไร ยังไม่นับเรื่องสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่หายไปจากการเลี้ยงดูที่ผิดธรรมชาติ ซึ่งในประเทศไทยก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้วในสวนสัตว์ของเอกชนที่นำหมีขาวมาเลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมด้วยวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนทางธุรกิจ
บทสรุปจากสวนสัตว์สิงคโปร์ซึ่งได้หมีขาว 1 คู่ จากแคนาดาและเยอรมัน มาจัดแสดงตั้งแต่ปี 1978 ชื่อ Nanook และ Sheba  ซึ่งต่อมาได้ให้กำเนิดลูกหมีขาวชื่อ Inuka  เมื่อปี 1990นอกจากนี้ยังได้หมีขาวเพศเมียอีกหนึ่งตัวชื่อ Anana ซึ่งจับได้ในป่าที่แคนาดาเมื่อปี 1979  แต่ก็เสียชีวิตไปเมื่อปี 1999   และต่อมาไม่นาน Nanook พ่อของ Inuka ก็เสียชีวิตลงด้วยอาการโรคหัวใจและติดเชื้อที่ปอด  ส่วน Sheba และ Inuka  ก็เกิดมีเชื้อราขึ้นที่บริเวณขนตามลำตัวในปี 2004  เนื่องมาจากอุณหภูมิและความชื้นในอากาศของสถานที่จัดแสดง แม้ว่าทางสวนสัตว์จะพยายามแก้ปัญหาด้วยการพ่นยา นอกจากนี้ทาง Animal Concerns Research and Education Society(ACRES)  ก็ได้เข้ามาศึกษาความเป็นอยู่ของ Sheba  ก็พบว่ามันมีความเครียดจากการถูกบีบคั้นจากการให้แสดงพฤติกรรมที่ผิดไปจากปกติ แม้กระทั่งอุณหภูมิน้ำในสระก็สูงถึง 17 องศาเซลเซียส สูงกว่าอุณหภูมิน้ำในอาร์คติก  ซึ่งทางสวนสัตว์ก็ทราบถึงปัญหาโดยพยายามใช้งบประมาณเพื่อปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของส่วนจัดแสดงหมีขาวไปถึง 2 แสนเหรียญสิงคโปร์  แต่สุดท้ายทางสวนสัตว์ก็ต้องยอมให้ Inuka เข้าโครงการ animal exchange programme  เพื่อส่งกลับเยอรมันหลังจาก Sheba แม่ของมันตายลง    
ถ้าองค์การสวนสัตว์มีงบประมาณมากพอที่จะใช้เพื่อศึกษาวิจัยและอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ที่อยู่ในภาวะวิกฤต  ก็ควรพิจารณาชนิดพันธุ์ที่อยู่ในประเทศไทยหรือในสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงจะเหมาะสมกว่า  เนื่องจากมีสัตว์อีกหลายชนิด เช่น ช้าง หรือจระเข้น้ำจืด ที่มีปัญหาหรืออยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ไม่น้อยไปกว่าหมีขั้วโลก กำลังรอคอยความช่วยเหลืออยู่เช่นกัน หรือแม้ว่าสวนสัตว์เชียงใหม่กล้ายอมรับว่าเหตุผลที่นำหมีขั้วโลกมาจัดแสดงเพื่อต้องการให้เป็นจุดขายใหม่ของสวนสัตว์แทนหมีแพนด้า(เพราะขนาดหลินปิงยังสร้างรายได้ถึงปีละ 200 กว่าล้านบาทมาแล้ว) ที่อีกไม่นานก็ถึงกำหนดต้องส่งคืนให้กับจีน ก็เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น คำประกาศอย่างสวยหรูว่าเพื่อ เป็นแหล่งศึกษาวิจัยอนุรักษ์พันธุ์หมีขั้วโลกจึงเป็นเรื่องที่สวนทางกับความเป็นจริง เพราะไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เป็นการ ฉวยโอกาส อ้างเรื่องโลกร้อนมาสร้างวิกฤตเพิ่มขึ้นไปอีก