เมื่อพูดถึงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์หรือการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่พูดกันติดปากว่า Ecotourism สถานที่แรกๆ ที่เรามักคิดถึงกันก็คือ “อุทยานแห่งชาติ” และกิจกรรมท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติ ถ้าเป็นพวก “เขา ดอย ภู เชียง” ก็จะเป็นการเดินป่า พักแคมป์ เล่นน้ำตก ส่องสัตว์ ดูนก ฯลฯ แต่ถ้าเป็น “หาดและหมู่เกาะ” ก็หนีไม่พ้นการเล่นน้ำ ดำน้ำทั้งตื้นและลึก พายเรือแคนู-คะยัค ฯลฯ
![]() |
สภาพป่าเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ป่าน อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ |
![]() |
กิจกรรมดำน้ำลึก อุทยานแห่งชาติสิมิลัน |
หากในความเป็นจริงแล้ว เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมหรือคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านของเรา ไม่ว่าดีหรือร้ายก็ย่อมส่งผลกระทบต่อ “ผู้เป็นเจ้าของบ้าน” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ฉันใด การที่เราเข้าไปเที่ยวในป่า พืชและสัตว์ป่าก็ย่อมสำเหนียกถึงความแตกต่างกับสิ่งที่เกิดขึ้นใน “บ้าน” ของมันเช่นกัน แต่ด้วยรูปแบบการเสพสุขด้วยการท่องเที่ยวของมนุษย์เราที่รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ธรรมชาติ ย่อมหลีกเลี่ยงการก่อผลกระทบต่อทุกชีวิตในธรรมชาติไม่พ้น แม้เราจะพยายามหาวิธีที่จะรบกวน “เจ้าบ้านตัวจริง” ให้น้อยที่สุด ด้วยการตั้งกฎเกณฑ์การปฏิบัติตนไปจนถึงระเบียบข้อบังคับในการเข้าไปเยี่ยมเยียนและศึกษาธรรมชาติ (ซึ่งก็คือไปเที่ยวนั่นแหละ) ขึ้น ถึงกระนั้นก็ยังมีพฤติกรรมท่องเที่ยวอีกหลายอย่างที่ “แขกผู้มาเยือน” มักจะ “ทำร้าย” เจ้าของบ้านอย่างคาดไม่ถึง
“การให้อาหารสัตว์” พฤติกรรมปรกติที่เกิดขึ้นเมื่อเราพบเห็นสิ่งมีชีวิตที่กระทบความรู้สึกส่วนของความรัก ความเอ็นดู เวทนาสงสาร ทำให้เกิดความเมตตาตามประสาคนทั่วไป โดยลืมไปว่าเรากำลังมาเที่ยวป่า เค้าเป็นสัตว์ป่า การดำรงชีวิตในป่าคือวิถีตามธรรมชาติของเค้า การให้อาหารกวางที่ภูกระดึง ให้อาหารลิงบนถนนเส้นทางขึ้นเขาใหญ่ รวมถึงการโปรยขนมปังให้ปลาเวลาไปดำน้ำตามอุทยานแห่งชาติทางทะเล เป็นภาพที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด เราอาจทำเพราะคุ้นชินกับการให้อาหารปลาและขนมปังกับปลาต่างๆ ในเขตอภัยทานตามวัด อ้าว...แล้วมันเป็นปัญหาตรงไหนเหรอกับการให้อาหารปลาที่น่ารัก หรือให้อาหารลิงที่น่าสงสารพวกนั้น ผลพวงที่ตามมาจาก “ความเมตตา” ของเราอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่เห็นได้ชัดก็คือ สัตว์ป่าเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ทำให้สมดุลในระบบนิเวศที่เรียกว่า “ห่วงโซ่อาหาร”ผิดเพี้ยนไป สัตว์ป่าทำร้ายคนเมื่อไม่ได้รับอาหาร (อย่าลืมว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะให้อาหารสัตว์) เกิดอันตรายต่อสัตว์ป่าจากขยะแปลกปลอมที่ทิ้งเรี่ยราดไว้ และสัตว์กินเข้าไปด้วยความเข้าใจผิด หรืออันตรายจากพาหนะเพราะรุกล้ำขึ้นมาขวางเส้นทางด้วยความไม่รู้ อีกทั้งยังสร้างมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศอีกด้วย
![]() |
ภาพจาก www. v4nature.org |
การให้อาหารทำให้สัตว์ไม่หากินเอง รอคอยแต่คนมาให้อาหาร บรรยากาศริมทะเลน้ำใส แล้วมีปลาสลิดหินลายเสือ(ซึ่งก็คือสัตว์ป่าใต้ทะเล)หลายสิบตัวรายล้อมนักท่องเที่ยวที่กำลังโปรยขนมปังให้คงเป็นภาพสวยงามที่เรามักพบเห็นตามสื่อ แต่หากเปลี่ยนเป็นปลาพลวงตัวโตในน้ำตก เมื่อคนอื่นที่ไม่ได้ให้อาหารกำลังลงเล่นน้ำแล้วเกิดปรากฏการณ์ปลาตัวโตเท่าแขนพากันกรูเข้าหาเป็นร้อยๆ ตัว ลองนึกภาพดู นอกจากนี้ เศษอาหารที่เหลือยังส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อมของน้ำทั้งคุณภาพและความสะอาด ในเชิงระบบนิเวศการให้อาหารปลายังทำให้ปลาบางชนิดที่ปกติกินสาหร่ายที่ขึ้นปกคลุมปะการังเป็นอาหาร เปลี่ยนพฤติกรรมไม่หาสาหร่ายกินเอง และผลจะยิ่งรุนแรงเห็นได้ชัดในภาวะวิกฤติปะการังฟอกขาว ที่ปะการังจะอ่อนแอลงและสาหร่ายจะรุกขึ้นปกคลุมปะการัง หากไม่มีปลามาควบคุมปริมาณ โอกาสที่ปะการังจะฟื้นก็หมดไป หรือเต่าทะเลลอยตายเพราะกินถุงพลาสติกเข้าไปด้วยความเข้าใจว่าเป็นแมงกะพรุนก็น่าจะเคยได้ยินกันมาบ้าง
![]() |
ภาพจาก www.diaryclub.com/blog |
![]() |
ภาพจาก www.oknation.net/blog/print.php?id=2286 |
ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นกรณีลิงที่เขาใหญ่ ระหว่างทางขับรถขึ้นเขาใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวเห็นฝูงลิงนั่งเล่น เดินวนเวียนไปมาอยู่ริมถนน ทำกิริยา(ที่คนคิดเองว่า)น่าเอ็นดู ลิงแม่ลูกอ่อนมีลูกซุกอยู่ในอก โถ!น่าสงสาร จะมีอะไรกินมั้ย ว่าแล้วก็จอดรถยื่นถุงขนมขบเคี้ยวให้กับลิง หลายคนหลายคันก็ทำตามกันด้วยความเวทนา นานเข้าลิงเริ่มเรียนรู้ว่าอยู่ตรงนี้ ทำแบบนี้แล้วจะได้อะไร ไม่เข้าไปแล้วในป่า พากันมารอต้อนรับนักท่องเที่ยวกันเต็มสองข้างทางไปหมด มากเข้าจนเริ่มล้นขึ้นมาบนถนน ลิงรู้แต่ว่าสิ่งที่มีล้อกลมวิ่งได้มาแล้วจะได้ของกิน แต่มันไม่รู้ว่ามันต้องหลบรถด้วย แล้วก็มีอีกหลายคันที่ไม่จอดให้อาหาร เพราะมนุษย์มี “ระดับความเข้าใจในเรื่องความเมตตา” ต่างกัน ลิงมากขึ้นแต่คนให้อาหารน้อยกว่า ลิงก็เริ่มเข้าหานักท่องเที่ยวเพื่อขออาหาร แล้วพอไม่ได้รับก็ขโมยจากเต็นท์ แย่งจากมือแถมขู่หรือกัด เป็นที่มาของ “ลิงเขาใหญ่ถูกรถชนตาย ลิงเขาใหญ่กัดนักท่องเที่ยว” นี่ยังไม่ได้พูดถึงว่าแล้วถุงขนมขบเคี้ยว ซองพลาสติก ห่อลูกอมต่างๆ ที่ลิงกินแล้วทิ้งไว้แถวนั้นมันหายไปไหนนะครับ
![]() |
ภาพจาก www.dorakon11.multiply.com |
กิจกรรมทำบุญปล่อยนกปล่อยปลาตามความเชื่อก็เป็นอีกพฤติกรรม ที่หากมีโอกาสจะมาแบ่งปันข้อมูลกันอีกถ้าไม่เบื่อเสียก่อน สาวก Green Tourist รับทราบข้อมูลแล้วคิดเราควรทำอย่างไรกันดี เที่ยวป่าหรือทะเลครั้งต่อไป เราน่าจะลองช่วยกันดูช่วยกันเตือน(ถ้าทำได้) อย่าให้เกิดพฤติกรรมเหล่านี้ขึ้นอีกเลยครับ เพราะความเวทนาสงสารของมนุษย์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวแท้ๆ.......เลยกลายเป็นการ “โปรดสัตว์แต่ได้บาป”
.....สัตตนุรักษ์