จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หมีขั้วโลกสวนสัตว์เชียงใหม่ พลิกวิกฤติหรือฉวยโอกาส



คงไม่ช้าเกินไปที่จะกล่าวถึงกระแสเรื่องโครงการก่อสร้างอาคารจัดแสดงพันธุ์สัตว์ขั้วโลก (Polar World Chiang Mai Zoo) มูลค่า 71 ล้านบาทของสวนสัตว์เชียงใหม่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่  เป็นโครงการก่อสร้างที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้จัดแสดงหมีขาวและเพนกวินคิงที่กำลังมีแผนการเจรจาติดต่อกับสวนสัตว์จากประเทศแคนาดาและรัสเซีย  โดยชี้แจงวัตถุประสงค์โครงการว่าเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์และภูมิอากาศ รวมทั้งระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมของขั้วโลก ตลอดจนเป็นแหล่งศึกษาวิจัยอนุรักษ์พันธุ์หมีขั้วโลกและนกเพนกวินภายใต้พื้นที่โครงการเกือบ 3,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่เลี้ยงและจัดแสดงหมีขาว  ร้านจำหน่ายของที่ระลึก ห้องคอกกัก ห้องปฏิบัติการ ห้องเตรียมอาหาร และอาคารระบบยังชีพ โดยในส่วนพื้นที่จัดแสดงและที่อยู่ของสัตว์ขั้วโลกจะติดตั้งระบบปรับอากาศและจำลองบรรยากาศให้เหมือนขั้วโลกจริง  ซึ่งล่าสุดโครงการมีความคืบหน้าไปได้ประมาณ 30 เปอร์เซนต์
            คำถามที่เป็นข้อกังขาจากหลายฝ่ายในขณะนี้ คือ โครงการนี้มีความเหมาะสมหรือไม่กับการนำเอาหมีขาวที่มีชีวิตอยู่ตามธรรมชาติในเขตขั้วโลกเหนือมากักขังอยู่ในพื้นที่อากาศร้อนแถบเส้นศูนย์สูตร แล้วอ้างเหตุผลว่าเป็นเรื่องของการศึกษาวิจัย  เพราะถ้าพิจารณาวัตถุประสงค์ที่กล่าวอ้างกับรูปแบบการดำเนินการและขนาดของพื้นที่โครงการแล้วดูไม่สมเหตุสมผลอะไรเลย
หมีขั้วโลกเป็นสัตว์ผู้ล่าบนบกขนาดใหญ่ที่สุดในโลก หากินอยู่แถบขั้วโลกเหนือซึ่งเป็นเขตหนาวจัดตั้งแต่อลาสก้าไปจนถึงรัสเซีย ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 40,000 ตัว สถานภาพใกล้สูญพันธุ์ มีขอบเขตพื้นที่หากิน (boundary) หลายตารางกิโลเมตร การเอาหมีขั้วโลกมาอยู่บนพื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรในสภาพอากาศเขตร้อน โดยบอกว่าเป็นการศึกษาวิจัยจึงไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ดระบุว่า หมีขั้วโลกเป็นสัตว์กินเนื้อที่ใช้ชีวิตด้วยการเดินทางล่าแมวน้ำเป็นอาหาร  ตลอดชีวิตของมันใช้พื้นที่หากินถึง 260,000 ตารางกิโลเมตร  การนำมาเลี้ยงในกรงจะยิ่งสร้างความเครียดให้กับหมีขั้วโลก ทำให้เกิดอาการซึมเศร้า มีพฤติกรรมซ้ำซาก สวนสัตว์หลายแห่งในประเทศเยอรมนี อังกฤษ สวิสเซอร์แลนด์ที่ไม่มีปัญหาเรื่องสภาพอากาศร้อนแบบบ้านเรา อีกทั้งมีการจำลองบรรยากาศแบบขั้วโลกเหนือ ท้ายที่สุดก็ได้เรียนรู้และมีบทเรียนจากธุรกิจนี้ว่าเป็นการทรมานสัตว์ชนิดนี้เพียงใด จึงมีนโยบายค่อย ๆ ทยอยเลิกการเลี้ยงหรือจัดแสดงหมีขั้วโลกในสวนสัตว์แล้ว ขณะที่สวนสัตว์สิงคโปร์ที่มีการจัดแสดงหมีขั้วโลกก็มีการพิสูจน์แล้วว่า หมีเหล่านั้นมีอาการเครียด ทรมานจากอากาศร้อนและถูกกักขังในที่คับแคบ บางตัวติดเชื้อที่ปอดจนตาย บางตัวเป็นโรคเชื้อรา ล่าสุดคนุต ลูกหมีขั้วโลกขวัญใจคนเยอรมันในสวนสัตว์กรุงเบอร์ลิน หมีแสนน่ารักที่โด่งดังไปทั่วโลกได้เสียชีวิตลงอย่างกระทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา  สิ่งเหล่านี้ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าการเอาหมีขั้วโลกมาจำกัดสถานที่นั้นคงไม่ใช่แนวทางการอนุรักษ์สัตว์หายากชนิดนี้อย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องการปรับสภาพพื้นที่เพื่อให้หมีขั้วโลกอาศัยอยู่ได้ในที่แคบๆ  ก็ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อให้ระบบปรับอากาศทำงานตลอดเวลา  ซึ่งก็หมายถึงการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองและปลดปล่อยความร้อนออกมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเป็นการเพิ่มภาวะโลกร้อนมากขึ้น หากบอกว่าจะศึกษาเรื่องการปรับตัวของหมีขั้วโลกในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปจากภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นปัญหาที่คุกคามหมีขั้วโลกอยู่ในขณะนี้ เพราะพื้นที่ในการดำรงอยู่และอาหารของหมีลดน้อยลง การนำหมีออกจากพื้นที่ธรรมชาติมาเลี้ยงในพื้นที่จำกัดและสภาพแวดล้อมที่ต่างกันสุดขั้วจึงไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง  เพราะนอกจากจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาของหมีได้แล้ว ยังเป็นการ ซ้ำเติมปัญหาภาวะโลกร้อน มากขึ้นอีกด้วย
ถ้าเหตุผลของโครงการคือการศึกษาวิจัยชีวิต ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมของหมีขั้วโลกซึ่งมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ด้วยวิธีการนำมันมากักขังในพื้นที่แคบๆ แม้จะบอกว่ามีการจำลองสภาพพื้นที่และสภาพภูมิอากาศให้คล้ายกับสภาพแวดล้อมเดิม  แต่ขนาดพื้นที่ก็ผิดกันลิบลับ  หมีขาวที่เป็นสัตว์ผู้ล่าสูงสุดในห่วงโซ่อาหาร เคยแต่ล่าแมวน้ำตามธรรมชาติ แต่ต้องมารับการให้อาหารเหมือนสัตว์เลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่มีผู้คนมาห้อมล้อมมุงดูเป็นร้อยๆ คนในแต่ละวัน  แล้วจะศึกษาถึง ระบบนิเวศและการใช้ชีวิตของหมีตามธรรมชาติ ได้อย่างไร ยังไม่นับเรื่องสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่หายไปจากการเลี้ยงดูที่ผิดธรรมชาติ ซึ่งในประเทศไทยก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้วในสวนสัตว์ของเอกชนที่นำหมีขาวมาเลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมด้วยวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนทางธุรกิจ
บทสรุปจากสวนสัตว์สิงคโปร์ซึ่งได้หมีขาว 1 คู่ จากแคนาดาและเยอรมัน มาจัดแสดงตั้งแต่ปี 1978 ชื่อ Nanook และ Sheba  ซึ่งต่อมาได้ให้กำเนิดลูกหมีขาวชื่อ Inuka  เมื่อปี 1990นอกจากนี้ยังได้หมีขาวเพศเมียอีกหนึ่งตัวชื่อ Anana ซึ่งจับได้ในป่าที่แคนาดาเมื่อปี 1979  แต่ก็เสียชีวิตไปเมื่อปี 1999   และต่อมาไม่นาน Nanook พ่อของ Inuka ก็เสียชีวิตลงด้วยอาการโรคหัวใจและติดเชื้อที่ปอด  ส่วน Sheba และ Inuka  ก็เกิดมีเชื้อราขึ้นที่บริเวณขนตามลำตัวในปี 2004  เนื่องมาจากอุณหภูมิและความชื้นในอากาศของสถานที่จัดแสดง แม้ว่าทางสวนสัตว์จะพยายามแก้ปัญหาด้วยการพ่นยา นอกจากนี้ทาง Animal Concerns Research and Education Society(ACRES)  ก็ได้เข้ามาศึกษาความเป็นอยู่ของ Sheba  ก็พบว่ามันมีความเครียดจากการถูกบีบคั้นจากการให้แสดงพฤติกรรมที่ผิดไปจากปกติ แม้กระทั่งอุณหภูมิน้ำในสระก็สูงถึง 17 องศาเซลเซียส สูงกว่าอุณหภูมิน้ำในอาร์คติก  ซึ่งทางสวนสัตว์ก็ทราบถึงปัญหาโดยพยายามใช้งบประมาณเพื่อปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของส่วนจัดแสดงหมีขาวไปถึง 2 แสนเหรียญสิงคโปร์  แต่สุดท้ายทางสวนสัตว์ก็ต้องยอมให้ Inuka เข้าโครงการ animal exchange programme  เพื่อส่งกลับเยอรมันหลังจาก Sheba แม่ของมันตายลง    
ถ้าองค์การสวนสัตว์มีงบประมาณมากพอที่จะใช้เพื่อศึกษาวิจัยและอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ที่อยู่ในภาวะวิกฤต  ก็ควรพิจารณาชนิดพันธุ์ที่อยู่ในประเทศไทยหรือในสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงจะเหมาะสมกว่า  เนื่องจากมีสัตว์อีกหลายชนิด เช่น ช้าง หรือจระเข้น้ำจืด ที่มีปัญหาหรืออยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ไม่น้อยไปกว่าหมีขั้วโลก กำลังรอคอยความช่วยเหลืออยู่เช่นกัน หรือแม้ว่าสวนสัตว์เชียงใหม่กล้ายอมรับว่าเหตุผลที่นำหมีขั้วโลกมาจัดแสดงเพื่อต้องการให้เป็นจุดขายใหม่ของสวนสัตว์แทนหมีแพนด้า(เพราะขนาดหลินปิงยังสร้างรายได้ถึงปีละ 200 กว่าล้านบาทมาแล้ว) ที่อีกไม่นานก็ถึงกำหนดต้องส่งคืนให้กับจีน ก็เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น คำประกาศอย่างสวยหรูว่าเพื่อ เป็นแหล่งศึกษาวิจัยอนุรักษ์พันธุ์หมีขั้วโลกจึงเป็นเรื่องที่สวนทางกับความเป็นจริง เพราะไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เป็นการ ฉวยโอกาส อ้างเรื่องโลกร้อนมาสร้างวิกฤตเพิ่มขึ้นไปอีก 
   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น